วัดไผ่โรงวัว

เนื่องด้วยสถานการณ์ขณะนี้้ลดการระบาดของการติดเชื้อโรคไข้หวัดโคโรนา 2019(COVID-19) เป็นโรคท้องถิ่นแล้วทางวัดไผ่โรงวัว จะดำเนินการตามสถานการณ์ต่อไป

          วัดไผ่โรงวัว ตั้งอยู่ที่ ๑๑๘ หมู่ ๑๑ ต.บางตาเถร อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ๗๒๑๑๐ ประเภทวัด วัดราษฎร์ ( มหานิกาย ) ตั้งวัดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙
          ทิศเหนือติดคลองพระยาบรรลือ ทิศใต้ติดถนนทางหลวงหมายเลข ๓๔๒๒ ลาดบัวหลวง - สองพี่น้อง ทิศตะวันออกติดหมู่บ้านไผ่โรงวัว ทิศตะวันตกติดโรงเรียนวัดไผ่โรงวัวและที่นาของชาวบ้านไผ่โรงวัว
           เดิมคลองพระยาบรรลือยังมิได้ขุดเป็นแต่ร่องน้ำทิศใต้จากไผ่ตาแบ้เรียกปากคลองยายบ้วย ( แยก จากแม่น้ำท่าจีน ) ถึงตลาดบัวหวั่น ต่อมามีโครงการขุดลอกคลองใน พ.ศ. ๒๔๘๐ ประชาชนเริ่มอพยพมาอยู่ที่ริมฝั่งคลองมากขึ้นตามลำดับ
           บริเวณที่ตั้งวัดปัจจุบันนี้ แต่ก่อนมีแต่หญ้าคา และดงกอไผ่ ชาวบ้านนำฝูงโคที่เลี้ยงมาพักและอาศัยดงไผ่นี้ เป็นที่อยู่ ครั้งแรกมีพระชื่อ พระรุ่ง ธุดงค์มาอยู่ พระรุ่งนี้เมื่อเป็นฆราวาสเป็นเพื่อนกับนายสอน ซึ่งบ้านอยู่ ที่บ้านไผ่โรงวัวนี้ หมู่บ้านไผ่นี้เป็นที่ของนายชู ๒๐ไร่ ให้เป็นที่พักสงฆ์ พระรุ่งมาอยู่ได้ ๑ ปีกว่า ก็จาริกจากไป
           ชาวบ้านไผ่ ซึ่งมี นายสุข สุวรรณศรี , ผู้ใหญ่สุด วัชวงษ์ , นายบุตร , นายพุฒ , และนายสอน ได้ไปนิมนต์พระขอม ( หลวงพ่อขอม ) จากวัดบางสาม ให้มาอยู่ที่สำนักสงฆ์นี้ พระขอม ได้มาพร้อมกับพระขาว ซึ่งมีพรรษามากกว่าพระขอม มาอยู่ด้วยกัน พ.ศ. ๒๔๗๒ ณ.สำนักสงฆ์บ้านไผ่โรงวัว อยู่ได้ ๑ ปี พระขอม  (หลวงพ่อขอม ) ได้กลับไปเรียนพระปริยัติธรรม ที่วัดพระศรีมหาธาตุ อ.เมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ๖ ปี จบ น.ธ.เอก
           ส่วนทางสำนักสงฆ์บ้านไผ่โรงวัว เมื่อพระขอมไปเรียนพระปริยัติธรรมที่ตัวจังหวัดสุพรรณบุรี พระขาวปกครองสำนักสงฆ์บ้านไผ่โรงวัวได้ ๕ ปี ก็ลาสิกขาบท ได้มีพระรอด มาเป็นหัวหน้าคณะสงฆ์ต่อได้ ๑ ปี ก็ลาสิกขาบท และได้มีพระเงินมาอยู่ต่อ
           ชาวบ้านไผ่โรงวัว จึงได้ไปนิมนต์ พระขอม ( หลวงพ่อขอม ) ที่วัดพระศรีมหาธาตุสุพรรณบุรี มาอยู่ประจำ พ.ศ. ๒๔๗๙ พระขอม ( หลวงพ่อขอม ) ได้บุกเบิกก่อสร้างพัฒนา วัดไผ่โรงวัวมาจากเนื้อที่ ๒๐ ไร่ ขยายต่อจนมีเนื้อที่ตั้งวัด ๒๔๘ ไร่ ๑ งาน ๒๑ ตารางวา ( มีโฉนด ) มีที่ธรณีสงฆ์ ๒๐ ไร่ ( มีโฉนด ) ได้รับวิสุงคามสีมา วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๙ ตั้งชื่อวัดตามการปกครองคณะสงฆ์ว่า วัดโพธาราม แต่ชาว บ้านก็ยังเรียกว่าวัดไผ่โรงวัวกันติดปาก มาเปลี่ยนชื่อจาก วัดโพธาราม เป็นชื่อ วัดไผ่โรงวัว ในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ปัจจุบันเนื้อที่ตั้งวัด ถูกทางหลวงสายเลขหมาย ๓๔๒๒ ลาดบัวหลวง – สองพี่น้อง ตัดผ่านถูกเวนคืนเป็น ผาติกรรม จำนวน ๓ ไร่ ๒ งาน ๔.๙ ตารางวา ปัจจุบันจึงเหลือพื้นที่ตั้งวัดจำนวน ๒๔๔ ไร่ ๓ งาน ๑๗.๙ ตารางวา

ภาพถ่ายทางอากาศบริเวณวัดในอดีต พ.ศ.2518

ภาพถ่ายบริเวณวัดในอดีต


วัดไผ่โรงวัว พื้นที่ตั้งวัด แบ่งเป็น ๒ เขต

เขตพุทธาวาส ทิศตะวันออกของวัด บริเวณเนื้อที่ ๑๐๗ ไร่ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย สมเด็จพระพุทธโคดม หลวงพ่อขอมเป็นผู้นำสร้าง เริ่มงาน พ.ศ. ๒๕๐๐ - ๒๕๑๒ หน้าตักกว้าง ๑๐.๒๕ เมตร สูงเฉพาะองค์พระ ๑๔ เมตร รวมทั้งบัลลังก์ ๒๖ เมตร สร้างด้วยเนื้อทองสัมฤทธิ์ น้ำหนักประมาณ ๕๐ ตัน พ.ศ. ๒๕๑๒ ทูลเชิญในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสด็จมาทรงสวม พระเกตุ

วงล้อพระธรรมจักร หล่อด้วยทองเหลืองขนาดใหญ่ มีพุทธบริษัททั้ง ๔

สี่เหล่าชาวพุทธะ องค์เฮย
รวมกลุ่มรุมล้อกง จักรไว้
พลั่งพร้อมล้อมรุนกง จักร์รัตน์นา
จักรพระเจ้าจักได้ ก้าวหน้า พาเจริญ



           สถานที่ทางพระพุทธประวัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ทรงประสูติ จำลองเมืองกบิลพัสดุ์ จนถึงทรงพระนิพพาน จำลองสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ตำบล สถานที่ทรงประสูติ สถานที่ทรงตรัสรู้ สถานที่ทรงแสดงพระธรรมจักร และสถานที่ทรงปรินิพพาน

เขตสังฆาวาส ทิศตะวันตกของวัด บริเวณเนื้อที่ ๑๔๑ ไร่ เป็นที่อยู่ของพระสงฆ์ บริเวณเขตนี้เป็นที่ตั้งหอกลาง เป็นที่เก็บสรีระของหลวงพ่อขอม ( ผู้นำการก่อสร้างพัฒนาวัดไผ่โรงวัว ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างวัดใหม่ๆ จนถึงมรณะภาพ วันที่ ๗ มกราคม ๒๕๓๓          มีคลังจำหน่ายวัตถุ มงคล , ที่รับถวายสังฆทาน ศาลาการเปรียญ ๑ , ๒ , และ ๓ โรงทานหลวงพ่อขอม , โรงเรียนพระปริยัติธรรม

          ที่ตั้งของเมือง นรกภูมิ ในพื้นที่ประมาณ ๔ ไร่ มีเปรต อสุรกาย ต่างๆ สร้าง พ.ศ. ๒๕๑๔ สร้างตามคำภีร์พระมาลัยโปรดสัตว์นรก เป็นคติสอนใจ ในการกระทำชั่ว กระทำบาปจะได้รับผลเช่นไร ฯลฯ ข้อคิด…ชาวพุทธที่มาชมเปรตที่วัดไผ่โรงวัว มี 3 ชั้น

โบสถ์ร้อยยอด

ประวัติอดีตเจ้าอาวาส

หลวงพ่อขอม

           ไกลออกไปจากเมืองหลวง เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว บริเวณทุ่งแถบนั้นเต็มไปด้วยต้นข้าวที่กำลังออกรวงเหลืองอร่าม ข้าวแต่ละรวงเบ่งบานและอวบโต จนลำต้นไม่อาจทานน้ำหนักของเมล็ดข้าวได้ ต้องโน้มทอดลงสู่พื้นดิน บริเวณนั้นมีชื่อเรียกว่า “บ้านไผ่เดาะ” อยู่ในตำบลบางตะเคียน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดนี้เองนับแล้วก็คืออู่ข้าวอู่น้ำของเมืองไทยก็คงไม่ผิด บ้านไผ่เดาะ เป็นชุมนุมชนที่หนาแน่นพอสมควร อาชีพหลักของผู้คนที่นั่นคือการทำนา อันเป็นอาชีพดั้งเดิมที่บรรพบุรุษได้มอบให้ไว้ เนื่องจากเป็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ ทำนาได้ผลมากมาย ความสงบสุขจึงปรากฎให้เห็นอยู่ทั่วไป
           ณ. ที่นี่แหละ คือถิ่นกำเนิดของเด็กคนหนึ่งที่มีชื่อว่า “ เป้า ” เด็กชายเป้าผู้นี้ เมื่อเติบใหญ่ได้กลายเป็นผู้ที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงอย่างมาก น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก แต่ก่อนจะถึงเวลานั้นขอให้เราย้อนกลับไปสู่ครั้งปฐมวัยของเด็กน้อยผู้นี้กันก่อนเถอะ
           เด็กชายเป้าเป็นบุตรของชาวนาโดยตรงผู้หนึ่ง บิดาชื่อว่า “นายช้าง” มารดาชื่อว่า “นางเปรม” มีพี่น้องรวมทั้งสิ้น ๘ คน เป้าเป็นบุตรคนที่ ๕ เมื่อเป้าเกิด ทั้งพ่อแม่ญาติพี่น้อง ก็รู้ว่าเป้าไม่ใช่คนแข็งแรงอะไรนัก เพราะเป้าเป็นเด็กผอม พุงป่อง และเจ็บออดๆ แอดๆ เสมอ แต่ว่าอาการนั้นก็ไม่หนักหนาอะไร คงเลี้ยงดูกันได้เรื่อยมา
           ชีวิตในวัยเด็กนั้นเป้าก็เหมือนกับเด็กอื่นๆทั่วไป คือชอบเล่นฝุ่นสนุกซุกซนตะลอนๆ ไปตามชายทุ่ง และดำผุดดำว่ายอยู่ในคลองบึงที่ไม่ห่างจากบ้านนัก ทั้งๆ ที่เป็นเด็กซึ่งพ่อแม่ออกจะเป็นห่วงอยู่ เพราะเกรงว่าโรคภัยจะแทรกแซง เนื่องจากความอ่อนแอ แต่เป้าก็คงซุกซนและเจริญวัยเรื่อยมา พร้อมกับอายุที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เป้าก็เริ่มมีภาระเล็กๆ น้อยๆ คือติดตามผู้ใหญ่ออกไปทำนา ตามแรงความสามารถเท่าที่จะทำได้ ซึ่งถือว่าเป็นการสอนวิชาชีพที่จะกลายเป็นสมบัติติดตัวไปข้างหน้าวิธีหนึ่ง
           แต่กับพ่อกับแม่ของเป้าแล้วคิดไปไกลกว่านั้นอีก คือชีวิตของชาวนาจะมีอะไรมากไปกว่า ตื่นเช้าออกสู่เส้นทุ่งกว้าง เย็นลงก็กลับบ้าน วิชาความรู้อย่างอื่นนั้นคงไม่มี ในเมื่อหาเวลาที่จะร่ำเรียนมิได้ ความคิดที่วูบขึ้นมาเช่นนั้น ในขณะนั้น ทำให้พ่อแม่ของเป้าตัดสินใจส่งลูกชายน้อยๆ ไปขอรับวิชาความรู้ จากแหล่งรวมของสรรพวิชาทั้งหลาย นั่นก็คือวัด วัดแรกที่เป้าได้ร่ำเรียนคือวัดใกล้ๆ บ้านนั่นเอง เป้าได้รับรู้ธรรมเนียมใหม่ กล่าวคือเป้าต้องรับใช้ปรนนิบัติพระภิกษุผู้เป็นอาจารย์ด้วย หลังจากเลิกเรียนแล้ว ซึ่งก็หาได้ทำให้เด็กน้อยเบื่อหน่ายไม่ การรับใช้อาจารย์ก็เหมือนรับใช้พ่อแม่ ดังนั้นเป้าจึงมิได้รังเกียจ ตรงกันข้ามกลับมีความกระตือรือร้น เมื่ออาจารย์เรียกหา ความรู้ในด้านอ่านออกเขียนภาษาไทยของเด็กชายเป้าก็ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว จนอ่านเขียนได้คล่องแคล่ว และด้วยความกระตือรือร้นของเด็กผู้นี้ ทำให้อาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาบังเกิดความเมตตา สอนเด็กชายเป้าให้รู้จักอ่านเขียนภาษาขอมต่อไป
           ว่ากันว่าใครก็ตามในสมัยนั้นยุคนั้น ถ้าเรียนภาษาขอมก็ถือว่าเป็นการเรียนในชั้นสูง แต่เรียนไปได้ไม่นาน เป็นก็จำต้องย้ายวัดเพื่อการศึกษาต่อไป ตามธรรมเนียมของนักเรียนใหม่ พระอาจารย์ย่อมจะปล่อยให้ผ่านไปไม่ได้เป้าจึงต้องย้อนเรียนภาษาไทยอีกครั้งเป็นการทบทวน ดูเหมือนว่าความรู้ในภาษาไทยที่เป้ามีอยู่แล้ว จะเป็นที่รับรองของพระอาจารย์ เป้าจึงได้ก้าวต่อไปสู่ชั้นสูงคือเรียนภาษาขอมอีกครั้ง
           และในครั้งนี้เด็กน้อยผู้นี้ได้แสดงความสามารถให้ประจักษ์อีกครั้งหนึ่งเพราะชั่วเวลาไม่นาน เป้าก็อ่านเขียนหนังสือขอมเลยหน้าเด็กๆ รุ่นเดียวกันจนเป็นที่เลื่องลือยกย่อง อาจารย์เองก็ถึงกับออกปากชมไม่ขาดปากเลย เพื่อนๆ ของเป้าถึงกับออกปากอย่างล้อเลียนว่า เป้าน่ากลัวไม่ใช่คนไทย แต่เป็นขอม จึงอ่านเขียนหนังสือขอมได้คล่องแคล่วนัก และแล้วฉายาว่า “ขอม” ก็ปรากฎขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แต่เมื่อเรียกกันไปนานๆ ชื่อเป้าก็ชักเลือนหายไปทุกทีๆ เพื่อนฝูงและผู้รู้จักมักคุ้น ตลอดจนคนที่สูงอายุกว่า ต่างยอมรับเอาฉายาขอมเข้าไว้อย่างสะดวกปาก คำหนึ่งก็ขอมสองคำก็ขอมที่สุด ชื่อเป้าอันเป็นชื่อเดิมของเด็กน้อยผู้นี้ ก็สูญหายไปจากปากอย่างเด็ดขาด กลายเป็นเด็กชายขอมขึ้นมาแทนที่
           กล่าวถึงการศึกษาที่วัด อันเสมือนโรงเรียนสำหรับยุคนั้นเปรียบได้กับการศึกษาของนักเรียนประจำในยุคนี้ กล่าวคือต้องพำนักอยู่ที่วัดตลอดไป โดยมีอาจารย์ที่เป็นทั้งครูและผู้ปกครองไปพร้อมๆกัน แต่นั่นก็หาใช่ว่านักเรียนของวัดจะไม่มีโอกาสได้กลับบ้าน ที่จริงเมื่อถึงเวลาอันสมควร นักเรียนวัดก็กลับบ้านกันทั้งนั้น เป้า หรือบัดนี้มีชื่อใหม่ตามความนิยมว่า “ ขอม” ก็กลับบ้านเหมือนกัน เมื่อถึงบ้านความซุกซนแบบเดิมๆ ที่เป้าเคยเล่นซุกซนก็หายไป เป้าหรือขอมกลายเป็นเด็กที่มีระเบียบ รู้จักการปรนนิบัติรับใช้ผู้สูงอายุกว่า การพูดจาก็ฉาดฉาน จะอ่านจะเขียนก็คล่องแคล่ว สร้างความชื่นใจให้กับผู้ที่เป็นพ่อแม่เป็นอย่างยิ่ง จนทำให้นายช้างและนางเปรมลงความเห็นพ้องต้องกันว่า ตนนั้นได้แก้วไว้ในมือแล้ว สมควรที่จะได้รับการเจียรไนต่อไป ดังนั้นหลังจากที่ศึกษาอยู่ ณ วัดบางสามได้ระยะหนึ่ง ขอมก็ถูกส่งตัวเข้ากรุง ซึ่งเป็นการเผชิญชีวิตครั้งใหญ่สำหรับเด็กเล็กๆ คนหนึ่งที่ไม่เคยจากบ้านไปไหนไกลเกินกว่าวัดบางสาม แต่การไปครั้งนี้หมายถึงอนาคตที่จะชี้บอกว่า ต่อไปจะได้เป็นเจ้าคนนายคน ดังคำเปรียบเทียบที่ผู้ใหญ่ชอบพูดกันหรือไม่ แทนที่จะเป็นเพียงชาวไร่ชาวนาดังบรรพบุรุษของตน และแน่ล่ะกรุงเทพฯ ช่างเป็นคำที่หวานหูเสียนี่กระไร สวรรค์สำหรับทุกคน ใครได้ไปแล้วมักไม่ยอมกลับกัน
           ขอมถูกพ่อแม่พามาฝากไว้วัดสระเกศ เนื่องจากมีภิกษุที่รู้จักคุ้นเคยกับทางบ้านจำพรรษาอยู่ที่นั่น วัดสระเกศก็เลยได้เป็นบ้านที่สองของเด็กขอม พร้อมๆ กับการเข้าโรงเรียนประถมศึกษาซึ่งตั้งอยู่ที่วัดนั้นด้วย บัดนี้แทนที่จะเรียนแบบแผนเก่า แต่ขอมได้เรียนหลักสูตรการศึกษาแบบใหม่ ที่หลวงท่านกำหนดให้อนุชนได้เล่าเรียน ชีวิตอันเป็นประจำวันของขอม ในกรุงเทพฯ ก็เริ่มต้นด้วยการตื่นแต่เช้าตรู่ หาอาหารใส่ปากใส่ท้องแต่พออิ่ม แล้วก็มุ่งหน้าไปยังโรงเรียน คร่ำเคร่งอยู่กับการเรียนไปจนบ่ายคล้อยจึงกลับวัด คอยปรนนิบัติรับใช้พระอาจารย์ที่ขอมอาศัยอยู่ด้วย และได้อาศัยข้าวก้นบาตรของพระอาจารย์นั้นเอง เป็นอาหารยังชีพเรื่อยมา
           เวลาผ่านไป จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน และจากเดือนเป็นปี ขอมคงปฏิบัติตนเสมอต้นเสมอปลายกับการศึกษา ขณะที่การรับใช้พระอาจารย์ก็รักษาไว้ มิให้ขาดตกบกพร่อง เป็นอยู่เช่นนี้ล่วงได้ 3 ปี ขอมจบการศึกษาในชั้นประถมปีที่ 3 ก็เดินทางกลับคืนสู่อ้อมอกของพ่อแม่อีกครั้งหนึ่ง
           ขอมกลับบ้านอย่างคนที่ไปชุบตัวในเมืองหลวงมาแล้วเมื่อย่างก้าวไปทางใด ก็มีแต่คนนิยมชมชอบ จะพูดจาก็มีคนนับถือ และแม้ว่าชีวิตเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่ม ซึ่งหมายถึงวัยแห่งความกระตือรือร้น และการเที่ยวเตร่สนุกสนานเฮฮากับเพื่อนฝูงและสาวพื้นบ้านเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม แต่หนุ่มน้อยขอมก็ไม่ยอมปล่อยใจให้ล่องลอยไปเกินกว่าขอบเขต สิ่งที่ขอมคิดมากในขณะนั้นคือ ทำนาช่วยภาระของพ่อแม่ แต่คนเรานั้นหาได้เป็นคนโดยสมบูรณ์ไม่หากยังไม่ได้บวชเรียน ดังนั้นเมื่อขอมอายุครบบวช พ่อแม่ก็จัดการบวชให้ที่วัดบางสาม อันเป็นวัดใกล้บ้านและสถานศึกษาเดิมของขอม เพราะระยะเวลานี้ ขอมมีนิสัยไปในทางรักสันโดษ ชอบพินิจพิเคราะห์ตรึงตรองต่างกว่าเพื่อนวัยเดียวกันคนอื่นๆ
           พิธีอุปสมบทขอมจัดทำกันอย่างเต็มที่ เท่าที่ฐานะจะอำนวยได้ และท่ามกลางความชื่นชมของทุกคน เนื่องจากพ่อแม่ของขอมเป็นผู้ที่กว้างขวางมีคนไปมาคบหาด้วยจำนวนมาก การบวชคราวนี้จีงมีพระครูวินยานุโยคแห่งวัดสองพี่น้อง เป็นองค์อุปัชฌาย์ พระอาจารย์กอนวัดบางสาม เป็นกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เผือก วัดบางซอ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ขอมได้รับฉายาที่พระอุปัชฌาย์ตั้งให้คือ “อนิโชภิกขุ”
           นวกะภิกษุอนิโช หรือ เด็กชายเป้า ที่เพื่อนๆ เรียกกันว่า “ ขอม” ก็ได้ก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัตร์ตั้งแต่บัดนั้นพระขอม หรือ อนิโชภิกษุ เมื่อจำพรรษาอยู่ที่วัดบางสาม ก็ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาพระธรรมวินัย ด้วยความเอาใจใส่อย่างยิ่ง และได้ปฏิบัติตนในศีลจารวัตร เป็นอย่างดี อยู่หลายปีจนกระทั่งเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงก็มาถึง ยังมีสำนักสงฆ์สร้างขึ้นใหม่แห่งหนึ่ง มีชื่อเรียกตามความนิยมของชาวบ้านว่า “ วัดไผ่โรงวัว” ที่นี้ไม่มีสมภารเจ้าวัด บรรดาชาวบ้านย่านนั้นซึ่งจับตาดูพระขอมมาตั้งแต่ต้น ลงความเห็นพ้องต้องกันว่า ผู้ทีสมควรได้ตำแหน่งสมภารวัดใหม่นี้ไม่มีท่านใดเหมาะเท่า พระขอม เมื่อลงความเห็นกันดังนี้ ต่างก็พากันกันไปนิมนต์ อนิโชภิกษุ หรือ พระขอม ให้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดไผ่โรงวัวก่อน พระขอมซึ่งเคยเป็นที่คุ้นเคยกับพุทธบริษัทที่นั่น ไม่อาจขัดศรัทธาได้ จึงได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดนั้นเป็นเวลา 2 ปี
           ชีวิตของท่านอนิโชในช่วงนี้ หากจะขาดก็คือขาดสถานศึกษาเล่าเรียนพระพุทธศาสนา เพราะวัดไผ่โรงวัวเป็นวัดใหม่ ขาดสถานศึกษาเล่าเรียน สิ่งนี้ทำให้พระขอมได้พิจารณาตนเอง และเห็นว่าอันธรรมวินัยของพระศาสดานั้น ท่านยังเข้าไม่ถึงพอที่จะเป็นสมภารเจ้าวัดได้ หากผู้ศรัทธายังประสงค์จะให้ท่านเป็นผู้นำของวัดนี้อยู่ ท่านก็จำต้องเสาะแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ดังนั้นท่านจึงขอย้ายไปจำพรรษาที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ซึ่งอยู่ในตัวเมืองสุพรรณบุรี แล้วไปศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดประตูสารใกล้ๆ กับวัดพระศรีรัตนมหาธาตุที่ท่านจำพรรษาอยู่นั่นเอง การศึกษาพระปริยัติธรรมของพระขอมดำเนินไป 3 ปี ก็สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก อันเป็นความรู้ชั้นเถรภูมิ คราวนี้ท่านกลับมาสู่วัดไผ่โรงวัวอีกครั้งหนึ่งอย่างสมภาคภูมิ กลับมาอย่างผู้พร้อมที่จะบริหารกิจให้พระศาสนาเต็มที่ ดังได้กล่าวแล้วว่าวัดไผ่โรงวัวเป็นวัดใหม่ความใหม่นี้เอง เป็นความใหม่ที่ยังไม่ถึงพร้อมกล่าวง่ายๆ คือไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน กุฏิที่อยู่จำพรรษาของภิกษุสามเณร ก็เป็นกระต๊อบมุงจากเก่าๆ มีอยู่เพียง 2 หลัง ศาลาการเปรียญที่จะเป็นที่บำเพ็ญกุศลของทายกทายิกา เป็นเพียงโรงทำด้วยไม้ไผ่หลังคามุงจาก อาศัยพื้นดินเป็นพื้นของศาลาน่าอนาถใจยิ่ง
           ภาระของพระขอมคือ ปรับปรุงศาสนสถานแห่งนี้ให้น่าพักพิงสมกับเป็นวัดเสียก่อน เพื่อจะได้เป็นหนทางนำไปซึ่งการปรับปรุงจิตใจของชาวบ้านผู้ศรัทธาเป็นชั้นที่สอง และเนื่องจากบรรดาชาวบ้านต่างมีศรัทธาพระขอมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว งานปรับปรุงก่อสร้างชั้นแรกจึงผ่านไปได้ไม่ยาก เริ่มด้วยการถมดินไม่ให้น้ำท่วมวัดได้ เพราะบริเวณดังกล่าวนี้เป็นที่ลุ่มมาก ถึงฤดูฝนคราใด น้ำท่วมทุกปีและท่วมมากขนาดเรือยนต์เรือแจวแล่นถึงกุฏิได้ เมื่อถมดินเสร็จท่านได้จัดการขุดสระน้ำสำหรับเป็นที่สรงน้ำและดื่มน้ำของพระภิกษุสามเณร และเพื่อชาวบ้านทั้งหลายจะได้อาศัยอาบกินโดยทั่วไป แล้วซ่อมกุฏิที่ชำรุดทรุดโทรม สร้างศาลาการเปรียญ สร้างโบสถ์ จัดสรรให้เหมาะสมเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม สมกับคำว่า “ วัด” ศรัทธาของประชาชนก็เพิ่มมากขึ้น

           นับตั้งแต่พระขอม สละเพศฆาราวาสมาสู่พระพุทธศาสนา ท่านมีความตั้งใจมั่น ดังที่เรียกว่ามโนปณิธานเรื่องนี้ท่านกล่าวกับผู้ใกล้ชิดว่า “..อาตมาได้ฟังพระท่านเทศน์ว่า บุคคลผู้ใดเลื่อมใส ได้สร้างพระพุทธรูป จะเล็กเท่าต้นคาก็ดี โตกว่าต้นคาก็ดี ผู้นั้นจะได้เป็นพรหม เป็นอินทร์ หมื่นชาติแสนชาติ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ หมื่นชาติแสนชาติ ผู้นั้นจะไม่เป็นผู้ตกต่ำเลยจนตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน ถ้าผู้ใดสร้างพระพุทธรูปด้วยทองคำ ผู้นั้นจะได้เกิดเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า..” ด้วยมโนปณิธานนี้เองทำให้ท่านขอมคิดเริ่มสร้างพระพุทธโคดมด้วยทองสัมฤทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก พ.ศ. 2500 ท่านขอมก็เริ่มบอกบุญแก่ญาติโยมใช้เวลา 2 ปีกว่าจะเริ่มสร้างได้ เนื่องจากเป็นงานใหญ่นั่นเอง ถึงต้องใช้เวลาสร้างทั้งหมด 12 ปีด้วยกัน จนแล้วเสร็จ พ.ศ. 2512 หลังจากนั้นท่านขอมก็เริ่มสร้างสิ่งก่อสร้างอีกหลายอย่างอาทิเช่น สังเวชนียสถาน 4 ตำบล แดนสวรรค์ นรกภูมิ เมืองกบิลพัสดุ์และอีกหลายๆ อย่างด้วยกันดังที่เห็นกันอยู่กันเท่าทุกวันนี้
           จนมาถึงวันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓ เวลา ๑๖.๕๕ หลวงพ่อขอมก็มรณภาพลงด้วยโรคหัวใจล้มเหลว รวมสิริอายุ ๘๘ ปี ๖๘ พรรษา ทำให้นึกถึงคำปฏิญานของท่านอนิโชที่กล่าวไว้ ๕ ข้อคือ ๑. ชีวิตของเราที่เหลือขอช่วยพระพุทธองค์ไปจนตาย ๒. เมื่อมีชีวิตอยู่ ถ้าเรามีเงินส่วนตัวสัก ๑ บาท เราจะอายพุทธบริษัทเป็นอย่างยิ่ง ๓. เราจะให้รูปพระองค์เกลื่อนไปในพื้นธรณี ๔. โอ..โลกนี้ไม่ใช่ของฉัน ๕. เราต้องตาย ตายใต้ผ้าเหลืองของเรา

วัดไผ่โรงวัว

118 หมู่11 ตำบลบางตาเถร อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี 72110

Power By MJ Computer and Service